วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แจกโปรแกรมตั้งสายกีตาร์ Audio Phonics Tuner 1.02

http://forum.showguitar.com/data/00000013-5-1.html

วิธีใช้งานคือ..
1. เอาสายไมค์เสียบที่คอมเรา แล้วเอาไมค์ที่เราเสียบสายไว้กับคอมแล้ว มาจ่อกับกีตาร์เรา
(อันนี้สำหรับกีตาร์โปร่งนะครับ...ถ้าเป็นไฟฟ้าให้ดูที่หมายเหตุข้างล่างครับ)

2. ลงโปรแกรมเสร็จแล้ว รันโปรแกรมขึ้นมาตามรูปบน

3. เลือกรูปแบบการตั้งสายที่เราตัองการ เช่น เลือก Standard E

4. รูปแบบของเสียงในการตั้งสายก็จะโชว์อยู่ข้างล่าง เช่น E A D G B E

5. ตั้งสายที่ละเส้น (แนะนำให้ตั้งสาย 6 ก่อน)

6. ตั้งสายแต่ละเส้นให้อยู่ ในเสียงนั้น พยายามตั้งให้เสียงมาอยู่ที่ +10%

7. เพราะการตั้งสายให้อยู่ที่ +10% จะทำให้สายเราไม่เพี้ยนบ่อย สังเกตุได้ว่าเวลาที่เราตั้งสายตามปรกตินั้น ถ้าเราตั้งให้ตรง พอตั้งเสร็จ สายแรกๆ ที่เราตั้งจะต่ำลงไป เพราะการคลายตัวของสายตามธรรมชาติ

8. พอตั้งเสร็จแล้ว ให้ตีคอร์ดหนักๆ หรือโซโลแล้วดันสายทุกสายให้เยอะๆ แล้วตั้งอีกรอบนึง มันจะช่วยให้สายของเราเข้าที่ แล้วมันก็จะไม่เพี้ยนบ่อย ครับ

หมายเหตุ : สำหรับกีตาร์ไฟฟ้า หรือโปร่งไฟฟ้า ที่มีสายแจ็คอยู่แล้ว แนะนำให้ซื้อ ตัวแปลงสัญญาณ ที่เสียบที่หัวแจ็คแล้วสามารถต่อเข้าคอมได้มาใช้ เวลาเราตั้งสาย เสียงของกีตาร์จะเข้าคอมได้ดี และไม่มีเสียงรอบข้างรบกวน ทำให้การตั้งเสียงได้คุณภาพจริงๆ

วิธีการตั้งสายกีต้่าร์ 2

1.) บิดลุกบิดของสายที่ 6 (เส้นใหญ่สุด) ให้ได้คีย์ตามที่คุณต้องการ (ถ้าอยากได้เสียงสูง ก็บิดให้ตึงหน่อย อยากได้เสียงต่ำ ก็ให้หย่อนหน่อย) สำหรับคีย์ตามมาตรฐานของสาย 6 คือคีย์ E ครับ

2.) ใช้นิ้วกดเฟร็ตที่ 5 (เฟร็ต = ช่อง) ของสายที่ 6 แล้วดีดสายที่ 5 กับ 6 ให้ได้เสียงเดียวกัน ซึ่งก็คือคีย์ A

3.) ใช้นิ้วกดเฟร็ตที่ 5 (เฟร็ต = ช่อง) ของสายที่ 5 แล้วดีดสายที่ 4 กับ 5 ให้ได้เสียงเดียวกัน ซึ่งก็คือคีย์ D

4.) ใช้นิ้วกดเฟร็ตที่ 5 (เฟร็ต = ช่อง) ของสายที่ 4 แล้วดีดสายที่ 3 กับ 4 ให้ได้เสียงเดียวกัน ซึ่งก็คือคีย์ G

5.) ใช้นิ้วกดเฟร็ตที่ 4 (เฟร็ต = ช่อง) ของสายที่ 3 แล้วดีดสายที่ 2 กับ 3 ให้ได้เสียงเดียวกัน ซึ่งก็คือคีย์ B

6.) ใช้นิ้วกดเฟร็ตที่ 5 (เฟร็ต = ช่อง) ของสายที่ 2 แล้วดีดสายที่ 1 กับ 2 ให้ได้เสียงเดียวกัน ซึ่งก็คือคีย์ E

วิธีการตั้งสายกีต้่าร์

1. ตั้งสาย 1 ให้ได้มาตรฐานก่อน ตอนนั้นก็ไม่รู้หลอกว่าไอ้มาตรฐานมันเป็นยังไง เพราะยังไม่มีเครื่องตั้งสาย หรือคอมพิวเตอร์เลย ก็กะๆเอา หลังๆพี่ใช้วิธีเปิดเพลงที่มีดีดสาย 1 เปล่าๆตอนนั้นพี่ใช้เพลงไม่ต่างกันของพิสุทธ์ตอนท่อนอินโทรเลย ง่ายดี ก็ตั้งสาย 1 ให้มันเท่าๆกับเทปที่สุด
2. ตั้งสาย 2 โดยการกดช่องที่ 5 ของสาย 2 แล้วดีดสาย 2 กับสาย 1 ดีดช้าๆคอยฟังเสียงของสาย 2 ว่ามันเท่ากับสาย 1 หรือไม่ ค่อยๆปรับสาย 2 ทีละนิด ให้เสียงมันเท่ากับสาย1ตอนดีดสายเปล่าให้ได้มากที่สุด
3. ตั้งสาย 3 โดยกดสาย 3 ช่องที่ 4 แล้วดีดเทียบเสียงกับสาย 2 สายเปล่า ค่อยๆปรับสาย 3 ทีละนิด ให้เสียงมันเท่ากับสาย 2 ได้มากที่สุด จริงๆก็ใช้วิธีเดียวกันการตั้งสาย 2 นั่นแหละแต่เปลี่ยนจากช่องที่ 5 เป็นช่องที่ 4 แทน
4. ตั้งสาย4 โดยกดที่ช่อง 5 ของสาย 4 เทียบเสียงกับการดีดสาย3สายเปล่า
5. ตั้งสาย5 โดยกดที่ช่อง 5 ของสาย 4 เทียบเสียงกับการดีดสาย4สายเปล่า
6. ตั้งสาย6 โดยกดที่ช่อง 5 ของสาย 4 เทียบเสียงกับการดีดสาย5สายเปล่า ก็คือสาย 4-6 ใช้วิธีตั้งแบบเดียวกับสาย2

รวบรวมข้อมูลกีต้าร์ TAKAMINE JAPAN

เนื่องจากกีต้ารืยี่ห้อนี้แบ่ง line การผลิตออกเป็น domestic และ export versions รุ่นที่ทำเพื่อส่งออกนั้นหาข้อมูลไม่ยากแต่รุ่นที่ทำขายเฉพาะในญี่ปุ่นนั้น หาข้อมูลยากไม่ว่าจะเป็นเรื่องสเป็ค ราคาหรือปีที่ผลิตก็ตาม

ผมเลยอยากรวบรวมข้อมูลเท่าที่จะหาใด้ไว้ในกระทู้นี้เพราะน่าจะเป็นประโยชน์ กับคนที่สนใจ ถ้าใครมีข้อมูลเพิ่มเติมช่วยกรุณาลงไว้ด้วยครับ

ข้อมุลเกี่ยวกับสเป็คขอลอกมาจากที่คุณ Rham เคยลงไว้ครับ

"เกี่ยว กับการดูสเป็ก TAKAMINE จากญี่ปุ่น ถูกผิดก็ถือว่าคุยกันเล่นๆนะครับ ทากามิเน๊ะจากญี่ปุ่นจะเขียนรหัสเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วตามด้วยตัวเลข อีก3ตัวสำหรับรุ่นปกติทั่วไป เช่น pt508 ,npt012 หรือ tdp 611
ตัวอักษรด้านหน้าจะหมายถึงรุ่นของปรีแอมป์ครับ
PT = GRAPH EX(ยกเว้นรุ่นเก่าจริง ปรีแอมป์จะเป็นแบบเลื่อนที่มีเพียง3ขีด หรือ อาจเป็นรุ่น PARAMETRIC EQ ครับ)
NPT = ACCURACOUSTIC
PTU = CT-4B
DSP = AD-1 (รุ่นนี้ในบ้านเรามีน้อยมากครับ ผมเคยเห็นในร้านตัวแทนเคยใส่ให้กับกีต้าร์รุ่นLTD อยู่พักนึง ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็น COOL TUBE หรือ CT-4B หมดแล้วครับ แต่กีต้าร์ในญี่ปุ่นใสปรีแอมป์เยอะมากครับ)
TDP = CTP-1 (COOL TUBE)
DMP= CT4-DX รุ่นนี้ยังไม่เห็นร้านตัวแทนนำเข้ามานะครับ แต่ในญี่ปุ่นเริ่มติดในตัวกีต้าร์หลายรุ่นแล้วครับ
ส่วนตัวเลขที่ตามมาอีก3ตัว แบ่งเป็น2ส่วนครับ ตัวแรกจะเป็นทรงของกีต้าร์ 2ตัวหลังจะเป็นระดับของกีต้าร์ครับ ตัวเลขสูงกว่าจะเป็นระดับที่สูงกว่า ราคาของใหม่จะแพงกว่าครับ
ตัวเลขตัวหน้าจะบอกทรงกีต้าร์ครับ
0 = JUMBO ( ทรงเดียวกับ EN 20 ครับ)
1 = FX ขนาดเดียวกับ PTU109 ตัวในกระทู้นี้ครับ
2 = DREADNOUGHT
3 = เป็นกีต้าร์คลาสสิคครับ
4 = NEW YORKER
5 = NEX ทรงที่มีมากที่สุดในบ้านเราครับ
6 = ทรงนี้ผมเองก็ไม่รู้จะเรียกว่าทรงอะไรครับ ขนาดตัวก็พอๆกับทรง FX แต่ส่วนชายเว้าจะตัดแบบตรงๆครับ
7 = OM ( ORCHESTRA MODEL )

ส่วนตัวเลข2ตัวหลัง เป็นระดับของกีต้าร์ ทั้งเรื่องไม้และการตกแต่งครับ ตัวเลขยิ่งสูง ราคาจะแพงขึ้นครับ เช่น series 1 ในกระทู้นี้มีตั้งแต่ 105 -116 เลยครับ
บางครั้งจะมีตัวอักษรต่อท้ายด้วย ส่วนใหญ่จะบอกสี หรือ ลักษณะเฉพาะบางอย่างเช่น WR = สีไวน์แดง , K = ไม้ KOA หรือ N หมายถึงเป็นกีต้าร์สายเอ็นครับ
แต่ทั้งหมดนี่ผมเองก็ดำน้ำมานะครับ จากประสพการณ์ประมาณ 1ปี ที่สั่งของมาจากญี่ปุ่นคงเชื่อถือได้ซัก 80% ครับ"


DATING

กีต้าร์ที่ขายในญี่ปุ่นมี serial number เป็นเลขแปดหลัก ผมเพิ่งอ่านเจอใน Takamine Forum ว่าเลขสองหลักแรกคือปีที่ผลิตนับจากปีที่ก่อตั้งคือ 1962 ดังนั้นเลข 35xxxxxx ก็คือ 1962+35 หรือ 1997 ผิดถูกยังไงคงต้องยืนยันกันอีกทีครับ

PRICE & SPECIFICATIONS

สำหรับราคามือหนึ่งและสเป็คดูใด้จากที่นี่ครับ

http://www.shimokura-webshop.com/product...earch.y=12

เรื่องราวที่น่ารู้ของ Takamine

ประวัติของกีต้าร์ยี่ห้อนี้นั้นสามรถหาอ่านใด้ทั่วๆไป ดังนั้นผมขอเลือกที่จะเล่าเรื่องราวน่าสนใจในเชิงวิเคราะห์เท่านั้นนะครับ

Takamine and Martin

ในปี 1969 บริษัท Martin ต้องการหาแหล่งผลิตในญี่ปุ่นเพื่อผลิต Martin ราคาถูกโดยผ่านทางบริษัท Coast Distributor ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายกีต้าร์ญี่ปุ่นอยู่หลายยี่ห้อในตอนนั้น Coast ก็แนะนำโรงงาน Takamine ให้ว่าเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตดีที่สุด ทาง Martin เลยลงทุนส่งช่างและอุปกรณ์ไปสอนให้ Takamine ผลิต Japanese Martin ป้อนตลาดโลก

Martin ต้องฝันสลายเมื่อคู่แข่งคนสำคัญคือ Ovation ซื้อบริษัท Coast ไปซะดื้อๆหลังจากที่ไปลงทุนสอนให้ Takamine ทำ Martin อยู่เกือบสองปี ต่อมาอีกหกปีก็เลยไปจ้าง Tokai ให้ผลิต Martin Sigma ให้ ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นเขาเลยถือว่ากีต้าร์ยี่ห้อ Cat's Eyes ของ Tokai คือ Japanese Martin ครับเพราะ Martin Sigma ไม่มีขายในญี่ปุ่น

ก่อนหน้าที่ Martin จะมาสอนให้ทำกีต้าร์สายเหล็กนั้น Takamine ก็เชี่ยวชาญในการทำกีต้าร์ classic อย่างเดียว คราวนี้ก็เลยทำการก้อป Martin อย่างเอาเป็นเอาตายแถมยังส่งไปขายที่อเมริกาผ่านทาง Kaman (Ovation) ซะอีก ตอนแรกๆ Martin ก็ไม่ว่าอะไรเพราะ Takamine โฆษณาโดยเอา Martin กับ Takamine ที่มีถุงคลุมหัวมาวางข้างๆกันแล้วบอกให้ลูกค้าเปรียบเทียบเสียงก่อนดูยี่ห้อ ซึ่งก็เท่ากับว่า Martin ใด้โฆษณาฟรีๆไปด้วยแต่พอ Martin Sigma เริ่มวางตลาดดันมีนักวิจารณ์ยุคนั้นหลายคนให้ความเห็นว่า Takamine เสียงดีกว่า คราวนี้ Martin เลยขู่ว่าจะฟ้อง Takamine ข้อหาลอกเลียนเครื่องหมายการค้า

[ภาพ: 301e_1.jpg]

คราวนี้ความซวยก็มาเยือนแล้วครับเพราะ takamine ยุคนั้นผลิตแต่กีต้าร์ที่ก้อป Martin และ Guild แบบเป้ะๆเลยต้องหาทางดิ้นรนแบบสุดๆ


New Look for Takamine

ทางออกของ Takamine เริ่มต้นด้วยการนำเอาระบบ pickup ของ Ovation มาปรับปรุงเพื่อทำกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าที่เป็นไม้ทั้งตัวและทำใด้สำเร็จในปี 1978 ในปีนั้นเองก็มีศิลปินดังคือ Ry Cooder ไปเยี่ยมชมโรงงานโดยนำเอากีต้าร์โปร่งตัวโปรดที่ผลิตโดย lloyd Baggs ติดมือไปด้วย Takamine ก็เลยโชว์ฝีมือในด้านการก้อปปี้โดยการทำกีต้าร์อีกตัวที่เหมือนตัวของ Lloyd Baggs เป้ะๆแต่ติดตั้ง palathetic pickup ให้ Ry Cooder อีกหนึ่งตัว

Lloyd Baggs ถึงกับตะลึงเมื่อใด้ฟังเสียงที่อัดจากกีต้าร์ตัวนี้เพราะตอนแรกเขาคิดว่า เป็นเสียงที่ใด้จากการใช้ไมค์จ่อ 100% นี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท L.R. Baggs แต่ทาง Takamine ก็ใด้รับการตอบแทนโดย Lloyd Baggs ยินยอมให้ใช้ headstock ทรงแหลมของกีต้าร์ Baggs ซึ่งเป็น headstock ของ Takamine มาจนถึงทุกวันนี้

เรื่องราวจากปาก Lloyd Baggs อ่านใด้ที่นี่ครับ

http://www.lrbaggs.com/company/

Takamine ก็เลยกลายมาเป็นกีต้าร์โปร่งประจำกายของขา rock เมื่อ Ry Cooder ใด้เอาไปอวดเพื่อนๆของเขาอย่างเช่น Bruce Springsteen, Jackson Browne และวง The Eagles เป็นต้น

อ่านถึงตอนนี้หลายคนคงคิดว่า Takamine เคยทำอะไรโดยไม่ก้อปคนอื่นบ้างไหม คำตอบอยู่ตอนท้ายๆครับ

ยุคเริ่มต้นของการแบ่งแยกระหว่าง domestic และ export models

หลังจากพยายามหาข้อมูลอยู่เป็นปีผมก็ยังไม่เจอข้อมูลที่บอกเหตุผลว่าทำไม Takamine ถึงใด้เป็นผู้ผลิตกีต้าร์รายเดียวในโลกที่มีการแบ่งแยกระหว่างรุ่นส่งออกและ รุ่นที่ขายในญี่ปุ่นออกเป็นสอง lines ดังนั้นผมเลยต้องสรุปเอาจาก circumstancial evidences (นักกฏหมายช่วยแปลหน่อยครับ) เท่าที่หาเจอครับ

หลังจาก Mass Hirade เข้ามาทำงานที่ Takamine เขาก็ใด้เริ่มหมกมุ่นกับการผลิตกีต้าร์โปร่งสายเหล็กแทนที่จะใช้วิชาที่เขา ร่ำเรียนมาจาก Marasu Kohno ในการทำกีต้าร์คลาสสิค กีต้าร์คลาสสิครุ่นใหม่ๆที่เริ่มต้นผลิตในยุคนั้นอย่างเช่น C series และ Hirade Master series เป็นการผลิตเพื่อส่งไปขายที่อเมริกาและไม่เคยมีขายในญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ เหตุผลนั้นผมคิดว่าในตลาดอเมริกาตอนนั้นยังไม่มีคู่แข่งในระดับเดียวกันแต่ ในตลาดญี่ปุ่นมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเช่น Kohno ในตลาดสูง Asturias และ Yamaha Grand Concert series ในตลาดกลางและหลายสิบยี่ห้อในตลาดล่าง

ดังนั้นการแบ่งแยกไลน์การผลิตน่าจะเกิดจากความต้องการทางตลาดที่แตกต่างกัน โดยตลาดอเมริกาตอนนั้นมี Coast เป็นผู้กำหนดและ Kaman รับช่วงต่อในยุคต่อมา ส่วนตลาดญี่ปุ่นนั้น Takamine คิดเองขายเองครับ

Idea ใหม่ๆที่เกิดกับกีต้าร์ Takamine นั้นมักจะเริ่มต้นกับ export line โดยที่มีฝรั่งเป็นคนคิดครับ ตัวอย่างเช่น

Natural Series, 1986-

Series นี้ถือกำเนิดจากไอเดียของนาย Gerard Garnier ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายในฝรั่งเศษ รุ่นนี้คือ Takamine รุ่นแรกที่เน้นเสียงเปล่าๆและต่อมากลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของ Takamine ครับ

http://www.takamineforum.com/ref2.htm

รุ่นนี้เป็น Takamine รุ่นแรกที่เปลี่ยนมาใช้ split saddle ซึ่งน่าจะเป็นไอเดียของ George Lowden ครับ

Santa Fe Series, 1993-

Santa Fe series นี่ถือกำเนิดในอเมริกาล้วนๆเพราะเป็นไอเดียของ Kaman และคนที่ออกแบบและผลิตตัว prototype คือนาย Michael Millard (Froggy Bottom Guitar) ครับ

Takamine Japan เปลี่ยนมาใช้ bridgeless pin system ในปี 2002 แต่ผมไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงเปลี่ยนครับ

อ้างอิงบทความโดย pood

วิธีการเลือกซื้อกีตาร์สำหรับผู้เริ่มต้น

อ้างอิงโดย ปลาร้าคุณป้า

สวัสดีครับกระทู้นี้ผมเขียนจากความคิดและประสพการ์ณส่วนตัวล้วนๆนะครับ

ซึ่งเหมาะสำหรับน้องๆที่เริ่มต้นที่จะทำความรู้จักกับอุปกรณ์สุดมหัศจรรย์ที่เราเรียกว่า "กีตาร์"

ซึ่งในส่วนนี้ผมขอพูดถึงกีตาร์ไฟฟ้าแล้วกันนะครับ โดยจะกล่าวถึงการเลือกซื้อกีตาร์สักตัวมาใช้

โดยจะกล่าวรวมๆทั้งการเลือกซื้อกีตาร์ให่มและกีตาร์มือ2 ว่าการจะมีกีตาร์สักตัวใว้ใช้นั้นเราต้อง

ดูต้องเลือก และทำความเข้าใจอะไรกับมันบ้าง

ถ้าเราจะมีกีตาร์สักตัว เราต้องรู้อะไรบ้าง

ถ้าแบบกว้างๆก็คงมีประมาณนี้ก่อนนะครับ

1. รูปทรง ซึ่งมีมากมายเหลือเกิน ซึ่งในกีตาร์แต่ละทรงแต่ละแบบนั้นก็มักจะให้เอกลักษ์ของโทนเสียงต่างกัน

ไปแม้ จะไม่ใช่ทั้งหมดเพราะมีองค์ประกอบอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งรูปทรงแบบไหนดีสุดคงไม่มีคำตอบให้

ครับ เพราะบางทีมันก็อยู่ที่ความพอใจและความชอบของแต่ละบุคล

2. ยี่ห้อของกีตาร์ ซึ่งในสว่นนี้อาจมีความสำคัญสำหรับบางคนแต่อาจไม่ใช่สาระสำหรับบางคนเช่นกัน

ซึงถ้าเรามียี่ห้อที่ใช่อยู่ในใจแล้ว นั้นก็ทำให้เราสารถตีวงในการเลือกกีตาร์สักตัวมาคู่กายเราได้ง่ายขึ้น

แต่ถ้าท่านไม่ซีเรียสมากว่าต้องเป็นยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ท่านก็จะมีตัวเลือกที่มากมายเพิ่มขึ้นกับการหากีตาร์คู่ใจของ

ท่าน ซึ่งทั้ง2อย่างนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานความพอใจของแต่ละบุคลครับ

3. งบประมาณ ซึ่งอันนี้ผมว่ามีความสำคัญมาก เพราะมันคือตัวกำหนดเลยว่าท่านจะสามารถมีตัวเลือกได้มาก

แค่ไหน ยิ่งงบมีมาทางเลือกของท่านก็จะมากขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้ความว่าเรามีงบประมาณจำกัดแปลว่าเราจะไม่มี

ตัวเลือกนะครับ ถ้าเรารู้จักที่จะเลือกอย่างใช้สติ และคุ้มค่าเงินทุกบาทที่จ่ายไป

ที่นี้ถ้าท่านมีข้อสรุปใน3ข้อข้างบนได้พอสมครวแล้ว ท่านก็คงจะพอมีกีตาร์สักตัวในใจที่เล็งใว้แล้ว

ที่นี้ก็มาถึงการดูรายละเอียดปลีกย่อยต่อไปครับ ซึ่งนั้นก็คือความถนัดในการเล่น เสียง และเช็คการทำงาน

ของอุปกรณ์ทั่วไปของกีตาร์

ซึ่งทั้งหมดข้างบนนี้ท่านเองละที่ต้องลอง ซึ่งมักมีอีกคำถาตามมาว่าเวลาไปลองกีตาร์เค้าลองอะไร อย่างไร

เพื่ออะไร ซึ่งผมจะกล่าวถึงพอเป็นข้อสังเกตุคร่าวๆนะครับ เพราะดว้ยรูปแบบของกีตาร์ที่หลายหลายเหลือเกิน

ผมคงไม่สามารถพูดถึงลายละเอียดปลีกย่อยได้ทั้งหมดนะครับ

ไปลองกีตาร์เค้าลองอะไรกัน แล้วต้องเล่นเพลงอะไรหรือครับ


นี่เป็นอีกคำถามที่เจอบ่อยสำหรับน้องๆที่หัดเล่นกีตาร์ ซึ่งอาจจะเป็นข้อกังวลใจของน้องๆบางท่านว่า

ไม่รู้จะเล่นอะไร เล่นไปก็อายเค้า ซื้อๆไปเลยหยิบและจ่ายเงินไปเลย แล้วค่อยกลับมาเล่นมาลองที่บ้านให้

ชุ่มใจ ซึ่งผมว่านั้นเป็นการกระทำที่ไม่ครวสักเท่าไรครับ เพราะถ้าท่านไม่ได้ลองหาข้อด้อย จุดเด่น

ความถนัด แล้วเมื่อท่านซื้อกลับมาบ้านแล้วมาพบเจอ นั้นคือปัญหาของท่านแล้วละครับที่ต้องมาทนกับปัญหา

ที่เกิดขึ้นจากกีตาร์ที่ท่านไม่ลองก่อนซื้อ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาศที่จะได้ลองกีตาร์ก่อนซื้อขอให้ลองไปครับ

การลองทดสอบเล่นกีตาร์ ที่เราจะซื้อไม่ได้หมายถึงเราต้องไปเล่นโชว์การปั่นการสวีฟ หรือเล่นเพลงยอดฮิต

หรอกครับ

มาเริ่มลองกีตาร์กันเลยครับ

ขั้นแรกก็จับกีตาร์ขึ้นมาเลยครับแล้วตั้งสายกีตาร์ซะซึ่งสำคัญมากถึงมากที่สุดสำหรับการตั้งสาย


เมื่อตั้งสายเสร็จแล้วลองเล่นดูไม่ต้องเสียบแอมป์ก็ได้ครับ อ้าวแล้วจะเล่นอะไรละ

ผมก็ขอตอบว่าเล่นอะไรก็ได้ครับจะเป็นเพลง หรือไม่เป็นเพลงก็ได้ครับ ตีคอร์ดเฉยๆยังได้ เพราะนี้ไม่ใช้การ

โชว์บนเวทีครับ แต่เราต้องการรู้ว่าเราถนัดกับมันไหม เวลาเล่นแล้วถนัดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งกีตาร์ที่เราเล่นแล้ว

รู้สึกถนัด จะทำให้เราเค้นความสามรถเราออกมาได้มากกว่ากีตาร์ที่เราเล่นแล้วฝืนความรู้สึกตัวเองครับ

ลองสะพายกีตาร์แล้วยืนเล่นกีตาร์ด้วยนะครับเพื่อเช็คความถนัดในการยืนเล่นของเรา เพราคุณคงไม่สามารถนั่งเล่นกีตาร์ได้เสมอไปครับ

จากข้างบนก็มาต่อครับหลังจากลองเล่ลองดีดแค่วัดความถนัดคร่าวๆแล้ว ลองเช็คในจุดอื่นๆของกีตาร์ครับ

ขั้นแรกลองเช็คว่าสายมีอาการติดเฟรทไหมเวลาดีดซึ่งทำง่ายๆโดยการกดที่ช่อง1สาย1 แล้วลองดีดดูว่าเสียง

ที่ออกมาเป็นไง มีเสียงที่สายกีตาร์กระแทกกับก้านเฟรทกีตาร์ไหม แล้วเสียงที่ได้มีความค้างยาว หรือหว้นสั้น

แบบใด ซึ่งถ้าเป็นปกติไม่มีปัญหาเสียงที่ได้ต้องมีความค้างยาวไม่ห้วนสั้นหรือมีเสียงสายตีกับก้านเฟรท

หลังจากนั้นก็ขัยบมากดที่ช่อง2สาย1 แล้วดีและฟังเสียงดูอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขยับตำแหน่งกดไปเรื่องๆให้

ครบทุกช่องทุกสายครับ

ปล. ถ้าในบางเฟรทที่ดีดแล้วเกิดเสียงสายกระทบเฟรท นั้นไม่ได้หมายถึงกีตาร์ตัวนั้นมีปัญหาเสมอไปนะครับ

เพราะถ้าอาการที่มีไม่มากมายเราสามารถปรับแต่งแก้ไขได้ง่ายๆครับ

หลังจากลองเช็คหาตำแหน่งบอดในคอกีตาร์แล้วที่นี้เรามาลองเช็คอุปกร์ต่างๆของกีตาร์ว่าใช้งานได้100%

เริ่มจากการเสียบกีตาร์เข้าแอมป์แล้วลองเล่นครับ เล่นเพื่ออะไรก็เพื่อเช็คการทำงานในส่วนต่างๆครับ

ขั้นแรกเลยของเช็คพวกปุ่มปรับค่าโทนและวอลลุ่มในตัวกีตารืครับ ว่าเมื่อเราหมุนใช้งานมันแล้ว

มันทำงานตามที่เราควบคุมไหม ลองดีดกีตาร์แล้วหมุนเพิ่มหรือลดวอลลุ่มกีตาร์ทีละนิดแล้วดีดเช็คไปเรื่อยๆ

ว่าเสียงกีตาร์ที่เราได้ยินมันดังเบา ตามจังหวะที่เราหมุนวอลลุ่มกีตาร์ไหม

แล้วก็มาลองเช็คที่ปุ่มปรับโทนของกีตาร์อีกทีโดยใช้วิธีการแบบเดียวกับการเช็คการทำงานของวอลลุ่มกีตาร์

แต่ทีนี้เราจะไม่ฟังความดังเบาของเสียงกีตาร์แต่เราจะเช็คว่าเมื่อหมุนปุ่มโทนของกีตาร์แล้วเสียงกีตาร์ที่เราได้

ยินการเปลี่ยนแปลงของโทนเสียงความทุ้มแหลม มากน้อยเพียงใด

หลังจากนั้นก็มาลองเช็ค ปิ๊คอัพและซีเลคเตอร์นะครับ ซึ่งทั้งpuและซีเลคเตอร์มีกี่แบบอันนั้นคงไม่ขอกล่าวถึง

ครับเพราะมากมายเกินบรรยาย แต่ผมขอกล่าวถึงแค่การเช็คว่ามันทำงานเป็นปกติไหม เสียงเสียงรบกวนเวลา

เราใช้งานอุปกรณ์พวกนี้ไหม

ลองเล่นกีตาร์ไปแล้วลองสลับซีเลคเตอร์ขึ้นลงไปทีละนิดแล้วดีดไปเรื่อยๆนะครับ เช็คว่าในทุกตำแหน่งที่เรา

เลื่อนตำแหน่งซีเลคเตอร์ไป เสียงกีตาร์ที่ออกมา มันดังครบทุกตำแหน่งในการเลือกใช้งานไหม มีเสียงรบกวน

คอ๊กแค๊ก เวลาใช้งานไหม ซึ่งเสียงรบกวนนี้มักจะมาจากราบสกปรกที่ติดอยู่ตามหน้าสัมผัสของซีเลคเตอร์

ถ้ากีตาร์ตัวที่เราลองมีสวิชที่สามารถตัดคอยล์ของpu ได้ลองใช้งานมันดูแล้วฟังเสียงกีตาร์ว่ามีความเปลี่ยน

แปลงจากการใช้งานไหม

ปล.ในการลองเทสข้อนี้อย่าลืมหมุนเปิดวอลลุ่มและโทนของกีตาร์ด้วยนะครับ

ที่นี้มาเช็คที่รูเสียบแจ็ค ลองเล่นแล้วขยับตรงจุดนี้ดูครับว่ามีเสียงกีตาร์ออกมาเต็มไหม มีเสียงรบกวนไหม

ซึ่งถ้ามีปัญหานั้นอาจหมายถึงรูแจ็คสว่นนี้ของกีตาร์มีปัญหาครับ

ย้อนกลับมาดูด้านบนกันบ้างที่นี้พูดถึงลูกบิดกีตาร์ ขั้นแรกลองใช้มือขยับและโยกที่ตัวลูกบิดดูว่า

แน่นหนาดีไหม และลองเทสตั้งสายดูว่า มีความเพี้ยนมากน้อยแค่ไหน โดยการเล่นและดีดกีตาร์ไปสักพัก

ลองดันสายขยี้สายกีตาร์สักครู่ ทีนี้ลองเล่นแบบจับคอร์ดดูแล้วฟังเสียงว่าเสียงกีตาร์ที่ได้มีความเพิ้ยนไหม

ซึ่งถ้าเพี้ยนจากที่เพิ่งตั้งสายใว้นั้นหมายถึงลูกบิดกีตาร์เรามีการคลายตัวครับ ซึ่งเป็นปัญหาให่ญสำหรับ

การเล่นเลยนะครับถ้าเราต้องคอยเล่นไปและตั้งสายไปทุกเพลง

ลองตรวจดูสภาพเฟรทว่าเป็นไงบ้างยิ่งถ้าเป็นกีตาร์มือ2 ยิ่งต้องดูในจุดนี้ว่าตัวก้านเฟรนมีสถาพดีไหม

ก้านเฟรทมีรอยหรือเปล่าความสึกของก้านเฟรทมากน้อยแค่ไหน ตรวจดู ด้านข้างของ

เฟรทที่ติดกับตัวฟิงเกอร์บอร์ดไหม ติดแน่นไหม มีสว่นไหนง้างขึ้นมาหรือไม่ หรือปลายก้านเฟรทด้านข้าง

ล้ำออกมาจากฟิงเกอร์บอร์ดไหม ลองเอามือรูปด้านข้างของฟิงเกอร์บอร์ด ทั่วคอกีตาร์ว่ามีอาการสะดุดในจุดที่

เป็นด้านเฟรทไหม

ตรวจสอบสภาพคอ โดยทำได้โดยจับกี่ก้นกีตาร์ยกขึ้นให้ได้ระดับสายตาแล้วให้ตัวกีตาร์ขนานกับพื้น

แล้วลองส่องดูว่าคอกีตาร์มีลักษณะบิดไหม ถ้าบิดนั้นถือว่าอาการหนัก เพราะการแก้ไขค่อนข้างยาก

และมีราคาพอสมครว กีตาร์ตัวไหมมีลักษณะคอบิดครวหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะกีตาร์มือ2ตรงจุดนี้ต้องเช็คให้

ครับ หลังจากดูว่าคอบิดไหม ทีนี้อีกครั้งว่าคอมีลักษณะ แอ่นหรือโค้งไหม ซึ่งตามปกติแล้วมันจะไม่เป็นเส้น

ตรงสักเท่าไรครับจะแอ่นเล็กน้อย ย้ำเพียงแค่เล็กน้อยนะครับ

ซึ่งอาการแอ่นหรือโค้งเล็กน้อยนี้สามารถเป็บแต่งได้ที่เหล็กขันคอกีตาร์ครับ

ที่นี้ลองตรวจสภาพรวมๆของกีตาร์ด้วยตาเปล่าครับ ซึ้งอาจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า กีตาร์ตัวนีงานดี หรือไม่ดี

มีความประณีตในการทำมากน้อยสักแค่ไหน ซึ่งความประณีตนี้ราคากีตาร์ก็เป็นตัวชี้วัดได้บางสว่นครับ

เพราะสว่นนี้มีผลกับความสวยงานของกีตาร์ถึงแม้บางทีจะไม่เกี่ยวกับการใช้งานเลยก็ตาม

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการเลือกซื้อกีตาร์แบบคร่าวๆสำหรับผมนะครับ ก็หวังว่าคงพอมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

ผมพยายามใช้คำที่มันเข้าใจง่ายๆสำหรับมือให่มแล้ว ซึ่งบางทีก็งงที่จะอธิบายในบางจุดดว้ยคำที่ทุกคนเข้าใจ

นะครับ ยังไงท่านอื่นมีอะไรจะเสริมก็เชิญนะครับ ขอบคุณมากๆครับ

ปล กีตาร์ทุกตัวถ้าเป็นกีตาร์ให่ม สิ่งที่สำคัญอีกอย่างนึงที่เราไม่ครวมองข้ามคือการ set up กีตาร์นะครับ

สำหรับมือให่มคงต้องเพิ่งช่างตามร้านก่อนละครับ แต่ก็สามารถทำเองได้ถ้ามีความเข้าใจพอ

ซึ่งก็สามารหาความรู้ได้จากกระทู้อื่นที่เคยมีลงใว้นะครับลองหาอ่านดู


การเลือกซื้อกีต้าร์ 2

การเลือกซื้อลูกบิด

ลูกบิดที่ดีจะต้องหมุนได้ง่ายไม่เจ็บมือแต่ก็ไม่หลวมลื่นเกินไป เพื่อว่าเมื่อตั้งสายแล้วจะคงที่ไม่เพี้ยนง่ายลูกบิดประกอบ ด้วยเฟืองเล็กๆที่มีฟันละเอียดลูกบิดที่มีฟันหยาบจะหมุน ลำบากและยากต่อการตั้งสายฉะนั้นจึงควรเลือกลูกบิดที่มี ฟันละเอียดและแข็งแรงถ้าเป็นกีตาร์คลาสสิคใช้สายไนล่อน ควรต้องมีแกนหมุนซึ่งทำด้วยพลาสติกอย่างดีงาช้างหรือวัสดุ ที่ทำด้วยกระดูกมีขนาดเส่นผ่าศูนย์กลาง3/8นิ้วถ้าเป็นกีตาร์โฟล์ค สายเหล็กทั้งลูกบิดและแกนควรเป็นเหล็กที่ดีไม่เป็นสนิมขนาด ของแกนเหล็กนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง3/16นิ้วซึ่งมีขนาดเล็กกว่า กีตาร์คลาสสิคเพราะสายเหล็กขึงตึงง่ายและไวต่อการเปลี่ยนแปลง และยืดหยุ่นได้น้อยกว่าซึ่งต่างกับสายไนล่อนกรณีที่ลูกบิดกีตาร์ ของเราฝืดให้ใช้ครีมทาถ้าลื่นเกินไปให้โรยแป้ง(ทาตัว)เล็กน้อยจะได้ไม่ลื่นและเลื่อนง่าย

การเลือกซื้อคอกีตาร์

1.ตรวจดูว่าคอต้องไม่โก่งงอและเล็งดูตามแนวยาวของฟิงเกอร์บอร์ด อย่าให้โค้งงอขึ้นหรือแอ่นลงดูขอบฟิงเกอร์บอร์ดทั้งสองข้างอย่าให้คอโค้งงอไปซ้ายหรือขวา

2.ตรวจดูความลาดของเฟร็ตกล่าวคือนับจากเฟล็ตที่1จะสูงที่สุดตรง เฟร็ตที่1และต่ำลงไปตามลำดับถ้านำไม้บรรทัดตรงๆมาทาบลงบนฟิงเกอร์บอร์ด จะต้องเห็นเฟร็ตต่ำลาดลงไปเป็นแนวระดับเดียวกันและตรวจดูได้โดยกดสายกีตาร์ บนเฟร็ตที่1กับเฟร็ตที่19ซึ่งสายจะติดกับเฟร็ตทุกอันที่อยู่ระหว่างเฟร็ตที่1ถึงเฟร็ตที่19

3.ตรวจดูความสูงต่ำของสายหรือแอคชั่นสายกีตาร์เมื่อตั้งสายถูกต้องแล้ว ไม่ควรสูงจากฟิงเกอร์บอร์ดเกินไปเพราะถ้าสูงเกินไปจะกดลำบากและเจ็บปลาย นิ้วมือด้วยความสูงตรงเฟร็ตที่1ควรสูงประมาณ2มิลลิเมตรส่วนในกีตาร์คลาสสิคสูงกว่าเล็กน้อย

ลำตัวกีตาร์มีหลายชนิดซึ่งให้เสียงที่แตกต่างกัน

กีตาร์คลาสสิคมีลักษณะคล้ายน้ำเต้าคอกว้างกว่าแบบอื่นๆให้เสียงนุ่มก้องกังวาล

กีตาร์โฟล์คขนาดใหญ่ขนาดยักษ์ให้เสียงที่ก้องกังวาล หนักแน่น เด็ดขาด

กีตาร์โฟล์คธรรมดา ขนาดเล็กกว่า ให้เสียงเบากว่าแต่ชัดเจนและกระทัดรัด

ตรวจดูลักษณะเนื้อไม้

เนื้อไม้ด้านหน้าควรเลือกลายไม้ที่ละเอียดยิ่งลายถี่มากยิ่งดีสังเกตดูว่า อย่าให้มีลายขวางหรือมีตาไม้ขึ้นมาแทรกเพราะเสียงจะด้อยลงเนื้อไม้ ทีนับว่าดีเยี่ยมสำหรับกีตาร์คือไม้ด้านหน้าเป็นไม้ อัลพินสปรูซ ไม้ด้านหลังและด้านข้างเป็นไม้โรสวูดบริดจ์ควรเป็นไม้อีโบนี่หรือโรสวูด หัวกีตาร์เป็นไม้สปรูซปัจจุบันจะหากีตาร์ที่มีลักษณะเนื้อไม้สมบูรณ์ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่น่าสังเกตคือว่ากีตาร์ที่ทำด้วยมือถือว่า เป็นกีตาร์ชั้นเยี่ยมแต่ราคาแพงมากและมักจะมีบอกกำกับด้วยว่าทำ ด้วยมือเพราะเป็นเรื่องของค่านิยมและคุณภาพชั้นเยี่ยม

บริดจ์

ปัจจุบันกีตาร์โฟล์คมักจะมีบริดจ์ที่ปรับความสูงต่ำของสายได้ส่วนบริดจ์ที่ปรับ ไม่ได้ควรมีระดับพอดีไม่สูงไม่ต่ำเกินไปใต้บริดจ์ภายในโพรงเสียงกีตาร์จะมี ไม้มะฮอกกานีซึ่งแข็งแรงมากเสริมอยู่เพื่อกันไม่ให้สายตึงจนบริดจ์ยกขึ้น ส่วนข้างในโพรงเสียงจะต้องมีไม้เสริมอยู่ ซึ่งเรียกว่าโครงยึด(BRACES) โครงยึดภายในกีตาร์คลาสสิคสายไนล่อนเป็นรูปพัดโครงยึดภายในกีตาร์โฟล์ค สายเหล็กเป็นรูปกากบาท แต่ปัจจุบันมีโครงยึดที่มีไม้ขวางกับลำตัวกีตาร์ เสียเป็นส่วนมากสำหรับบริดจ์ของนักกีตาร์โฟล์คที่ใช้หมุด(PIN)มักจะให้ เสียงดีกว่าบริดจ์ทีใช้เทลพีซรองรับสายส่วนบนและบริดจ์รองอยู่ที่ข้างใต้อีก

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประวัติความเป็นมาของกีต้าร์

กีตาร์ ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียก และรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผย แพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมัน จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่น ร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้น บ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น