เนื่องจากกีต้ารืยี่ห้อนี้แบ่ง line การผลิตออกเป็น domestic และ export versions รุ่นที่ทำเพื่อส่งออกนั้นหาข้อมูลไม่ยากแต่รุ่นที่ทำขายเฉพาะในญี่ปุ่นนั้น หาข้อมูลยากไม่ว่าจะเป็นเรื่องสเป็ค ราคาหรือปีที่ผลิตก็ตาม
ผมเลยอยากรวบรวมข้อมูลเท่าที่จะหาใด้ไว้ในกระทู้นี้เพราะน่าจะเป็นประโยชน์ กับคนที่สนใจ ถ้าใครมีข้อมูลเพิ่มเติมช่วยกรุณาลงไว้ด้วยครับ
ข้อมุลเกี่ยวกับสเป็คขอลอกมาจากที่คุณ Rham เคยลงไว้ครับ
"เกี่ยว กับการดูสเป็ก TAKAMINE จากญี่ปุ่น ถูกผิดก็ถือว่าคุยกันเล่นๆนะครับ ทากามิเน๊ะจากญี่ปุ่นจะเขียนรหัสเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วตามด้วยตัวเลข อีก3ตัวสำหรับรุ่นปกติทั่วไป เช่น pt508 ,npt012 หรือ tdp 611
ตัวอักษรด้านหน้าจะหมายถึงรุ่นของปรีแอมป์ครับ
PT = GRAPH EX(ยกเว้นรุ่นเก่าจริง ปรีแอมป์จะเป็นแบบเลื่อนที่มีเพียง3ขีด หรือ อาจเป็นรุ่น PARAMETRIC EQ ครับ)
NPT = ACCURACOUSTIC
PTU = CT-4B
DSP = AD-1 (รุ่นนี้ในบ้านเรามีน้อยมากครับ ผมเคยเห็นในร้านตัวแทนเคยใส่ให้กับกีต้าร์รุ่นLTD อยู่พักนึง ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็น COOL TUBE หรือ CT-4B หมดแล้วครับ แต่กีต้าร์ในญี่ปุ่นใสปรีแอมป์เยอะมากครับ)
TDP = CTP-1 (COOL TUBE)
DMP= CT4-DX รุ่นนี้ยังไม่เห็นร้านตัวแทนนำเข้ามานะครับ แต่ในญี่ปุ่นเริ่มติดในตัวกีต้าร์หลายรุ่นแล้วครับ
ส่วนตัวเลขที่ตามมาอีก3ตัว แบ่งเป็น2ส่วนครับ ตัวแรกจะเป็นทรงของกีต้าร์ 2ตัวหลังจะเป็นระดับของกีต้าร์ครับ ตัวเลขสูงกว่าจะเป็นระดับที่สูงกว่า ราคาของใหม่จะแพงกว่าครับ
ตัวเลขตัวหน้าจะบอกทรงกีต้าร์ครับ
0 = JUMBO ( ทรงเดียวกับ EN 20 ครับ)
1 = FX ขนาดเดียวกับ PTU109 ตัวในกระทู้นี้ครับ
2 = DREADNOUGHT
3 = เป็นกีต้าร์คลาสสิคครับ
4 = NEW YORKER
5 = NEX ทรงที่มีมากที่สุดในบ้านเราครับ
6 = ทรงนี้ผมเองก็ไม่รู้จะเรียกว่าทรงอะไรครับ ขนาดตัวก็พอๆกับทรง FX แต่ส่วนชายเว้าจะตัดแบบตรงๆครับ
7 = OM ( ORCHESTRA MODEL )
ส่วนตัวเลข2ตัวหลัง เป็นระดับของกีต้าร์ ทั้งเรื่องไม้และการตกแต่งครับ ตัวเลขยิ่งสูง ราคาจะแพงขึ้นครับ เช่น series 1 ในกระทู้นี้มีตั้งแต่ 105 -116 เลยครับ
บางครั้งจะมีตัวอักษรต่อท้ายด้วย ส่วนใหญ่จะบอกสี หรือ ลักษณะเฉพาะบางอย่างเช่น WR = สีไวน์แดง , K = ไม้ KOA หรือ N หมายถึงเป็นกีต้าร์สายเอ็นครับ
แต่ทั้งหมดนี่ผมเองก็ดำน้ำมานะครับ จากประสพการณ์ประมาณ 1ปี ที่สั่งของมาจากญี่ปุ่นคงเชื่อถือได้ซัก 80% ครับ" DATINGกีต้าร์ที่ขายในญี่ปุ่นมี serial number เป็นเลขแปดหลัก ผมเพิ่งอ่านเจอใน Takamine Forum ว่าเลขสองหลักแรกคือปีที่ผลิตนับจากปีที่ก่อตั้งคือ 1962 ดังนั้นเลข 35xxxxxx ก็คือ 1962+35 หรือ 1997 ผิดถูกยังไงคงต้องยืนยันกันอีกทีครับ
PRICE & SPECIFICATIONSสำหรับราคามือหนึ่งและสเป็คดูใด้จากที่นี่ครับ
http://www.shimokura-webshop.com/product...earch.y=12เรื่องราวที่น่ารู้ของ Takamineประวัติของกีต้าร์ยี่ห้อนี้นั้นสามรถหาอ่านใด้ทั่วๆไป ดังนั้นผมขอเลือกที่จะเล่าเรื่องราวน่าสนใจในเชิงวิเคราะห์เท่านั้นนะครับ
Takamine and Martinในปี 1969 บริษัท Martin ต้องการหาแหล่งผลิตในญี่ปุ่นเพื่อผลิต Martin ราคาถูกโดยผ่านทางบริษัท Coast Distributor ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายกีต้าร์ญี่ปุ่นอยู่หลายยี่ห้อในตอนนั้น Coast ก็แนะนำโรงงาน Takamine ให้ว่าเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตดีที่สุด ทาง Martin เลยลงทุนส่งช่างและอุปกรณ์ไปสอนให้ Takamine ผลิต Japanese Martin ป้อนตลาดโลก
Martin ต้องฝันสลายเมื่อคู่แข่งคนสำคัญคือ Ovation ซื้อบริษัท Coast ไปซะดื้อๆหลังจากที่ไปลงทุนสอนให้ Takamine ทำ Martin อยู่เกือบสองปี ต่อมาอีกหกปีก็เลยไปจ้าง Tokai ให้ผลิต Martin Sigma ให้ ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นเขาเลยถือว่ากีต้าร์ยี่ห้อ Cat's Eyes ของ Tokai คือ Japanese Martin ครับเพราะ Martin Sigma ไม่มีขายในญี่ปุ่น
ก่อนหน้าที่ Martin จะมาสอนให้ทำกีต้าร์สายเหล็กนั้น Takamine ก็เชี่ยวชาญในการทำกีต้าร์ classic อย่างเดียว คราวนี้ก็เลยทำการก้อป Martin อย่างเอาเป็นเอาตายแถมยังส่งไปขายที่อเมริกาผ่านทาง Kaman (Ovation) ซะอีก ตอนแรกๆ Martin ก็ไม่ว่าอะไรเพราะ Takamine โฆษณาโดยเอา Martin กับ Takamine ที่มีถุงคลุมหัวมาวางข้างๆกันแล้วบอกให้ลูกค้าเปรียบเทียบเสียงก่อนดูยี่ห้อ ซึ่งก็เท่ากับว่า Martin ใด้โฆษณาฟรีๆไปด้วยแต่พอ Martin Sigma เริ่มวางตลาดดันมีนักวิจารณ์ยุคนั้นหลายคนให้ความเห็นว่า Takamine เสียงดีกว่า คราวนี้ Martin เลยขู่ว่าจะฟ้อง Takamine ข้อหาลอกเลียนเครื่องหมายการค้า
![[ภาพ: 301e_1.jpg]](http://www.dropfiles.net//files/850/301e_1.jpg)
คราวนี้ความซวยก็มาเยือนแล้วครับเพราะ takamine ยุคนั้นผลิตแต่กีต้าร์ที่ก้อป Martin และ Guild แบบเป้ะๆเลยต้องหาทางดิ้นรนแบบสุดๆ
New Look for Takamineทางออกของ Takamine เริ่มต้นด้วยการนำเอาระบบ pickup ของ Ovation มาปรับปรุงเพื่อทำกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าที่เป็นไม้ทั้งตัวและทำใด้สำเร็จในปี 1978 ในปีนั้นเองก็มีศิลปินดังคือ Ry Cooder ไปเยี่ยมชมโรงงานโดยนำเอากีต้าร์โปร่งตัวโปรดที่ผลิตโดย lloyd Baggs ติดมือไปด้วย Takamine ก็เลยโชว์ฝีมือในด้านการก้อปปี้โดยการทำกีต้าร์อีกตัวที่เหมือนตัวของ Lloyd Baggs เป้ะๆแต่ติดตั้ง palathetic pickup ให้ Ry Cooder อีกหนึ่งตัว
Lloyd Baggs ถึงกับตะลึงเมื่อใด้ฟังเสียงที่อัดจากกีต้าร์ตัวนี้เพราะตอนแรกเขาคิดว่า เป็นเสียงที่ใด้จากการใช้ไมค์จ่อ 100% นี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท L.R. Baggs แต่ทาง Takamine ก็ใด้รับการตอบแทนโดย Lloyd Baggs ยินยอมให้ใช้ headstock ทรงแหลมของกีต้าร์ Baggs ซึ่งเป็น headstock ของ Takamine มาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องราวจากปาก Lloyd Baggs อ่านใด้ที่นี่ครับ
http://www.lrbaggs.com/company/Takamine ก็เลยกลายมาเป็นกีต้าร์โปร่งประจำกายของขา rock เมื่อ Ry Cooder ใด้เอาไปอวดเพื่อนๆของเขาอย่างเช่น Bruce Springsteen, Jackson Browne และวง The Eagles เป็นต้น
อ่านถึงตอนนี้หลายคนคงคิดว่า Takamine เคยทำอะไรโดยไม่ก้อปคนอื่นบ้างไหม คำตอบอยู่ตอนท้ายๆครับ
ยุคเริ่มต้นของการแบ่งแยกระหว่าง domestic และ export modelsหลังจากพยายามหาข้อมูลอยู่เป็นปีผมก็ยังไม่เจอข้อมูลที่บอกเหตุผลว่าทำไม Takamine ถึงใด้เป็นผู้ผลิตกีต้าร์รายเดียวในโลกที่มีการแบ่งแยกระหว่างรุ่นส่งออกและ รุ่นที่ขายในญี่ปุ่นออกเป็นสอง lines ดังนั้นผมเลยต้องสรุปเอาจาก circumstancial evidences (นักกฏหมายช่วยแปลหน่อยครับ) เท่าที่หาเจอครับ
หลังจาก Mass Hirade เข้ามาทำงานที่ Takamine เขาก็ใด้เริ่มหมกมุ่นกับการผลิตกีต้าร์โปร่งสายเหล็กแทนที่จะใช้วิชาที่เขา ร่ำเรียนมาจาก Marasu Kohno ในการทำกีต้าร์คลาสสิค กีต้าร์คลาสสิครุ่นใหม่ๆที่เริ่มต้นผลิตในยุคนั้นอย่างเช่น C series และ Hirade Master series เป็นการผลิตเพื่อส่งไปขายที่อเมริกาและไม่เคยมีขายในญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ เหตุผลนั้นผมคิดว่าในตลาดอเมริกาตอนนั้นยังไม่มีคู่แข่งในระดับเดียวกันแต่ ในตลาดญี่ปุ่นมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเช่น Kohno ในตลาดสูง Asturias และ Yamaha Grand Concert series ในตลาดกลางและหลายสิบยี่ห้อในตลาดล่าง
ดังนั้นการแบ่งแยกไลน์การผลิตน่าจะเกิดจากความต้องการทางตลาดที่แตกต่างกัน โดยตลาดอเมริกาตอนนั้นมี Coast เป็นผู้กำหนดและ Kaman รับช่วงต่อในยุคต่อมา ส่วนตลาดญี่ปุ่นนั้น Takamine คิดเองขายเองครับ
Idea ใหม่ๆที่เกิดกับกีต้าร์ Takamine นั้นมักจะเริ่มต้นกับ export line โดยที่มีฝรั่งเป็นคนคิดครับ ตัวอย่างเช่น
Natural Series, 1986- Series นี้ถือกำเนิดจากไอเดียของนาย Gerard Garnier ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายในฝรั่งเศษ รุ่นนี้คือ Takamine รุ่นแรกที่เน้นเสียงเปล่าๆและต่อมากลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของ Takamine ครับ
http://www.takamineforum.com/ref2.htmรุ่นนี้เป็น Takamine รุ่นแรกที่เปลี่ยนมาใช้ split saddle ซึ่งน่าจะเป็นไอเดียของ George Lowden ครับ
Santa Fe Series, 1993-Santa Fe series นี่ถือกำเนิดในอเมริกาล้วนๆเพราะเป็นไอเดียของ Kaman และคนที่ออกแบบและผลิตตัว prototype คือนาย Michael Millard (Froggy Bottom Guitar) ครับ
Takamine Japan เปลี่ยนมาใช้ bridgeless pin system ในปี 2002 แต่ผมไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงเปลี่ยนครับ
อ้างอิงบทความโดย pood